เมื่อวันจันทร์ที่ 8 มกราคม 2024 ที่ผ่านมา วงการฟุตบอลต้องพบกับข่าวเศร้าอีกครั้ง เมื่อ ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ สุดยอดตำนานลูกหนังโลกชาวเยอรมัน เสียชีวิตลงอย่างสงบด้วยวัย 78 ปี 

ซึ่งการจากไปของ ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ ครั้งนี้สร้างความสะเทือนใจให้แฟน ๆ เป็นอย่างมาก เนื่องจากตอนมีชีวิตเขาเป็นนักฟุตบอลเยอรมันที่มีความสำคัญต่อวงการลูกหนังของประเทศตั้งแต่สมัยค้าแข้งยันเกษียณ พาทั้งสโมสรบาเยิร์น มิวนิค และเยอรมันตะวันตกกวาดแชมป์มากมาย และยังเป็นผู้บุกเบิกตำแหน่งลิเบโร ให้กลายเป็นที่โด่งดังจนนำไปใช้ตามกันถ้วนหน้า

ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ สร้างผลงานหรือคุณงามความดีใดให้แก่วงการฟุตบอลเยอรมันบ้าง สามารถติดตามได้ที่นี่ 

ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ หรือที่หลายคนมอบฉายาให้ว่า “แดร์ ไกเซอร์” (จักรพรรดิ์) ถือเป็นนักฟุตบอลหนึ่งในสามคนที่สามารถพาทีมชาติของตนเองไปถึงแชมป์โลกได้ทั้งในฐานะผู้เล่นรวมถึงผู้จัดการทีม ร่วมกับ มาริโอ ซากัลโล่ ตำนานแนวรุกชาวแซมบ้า และ ดีดิเยร์ เดส์ชองส์ กุนซือทีมชาติฝรั่งเศสคนปัจจุบัน 

ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ เข้าร่วมสโมสรบาเยิร์น มิวนิค ตั้งแต่สมัยเป็นเยาวชน ในช่วงปี 1959 และฝึกฝนพร้อมพัฒนาตัวเองเรื่อยมาจนกระทั่งต้องเจอกับความยุ่งเหยิงช่วงเข้าสู่วัยรุ่น เมื่ออายุได้ 18 ปี โดยมีการเปิดเผยว่าแฟนสาวของ ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ กำลังตั้งครรภ์ แต่ทางฝั่งของดาวเตะเยอรมันไม่ได้ตั้งใจที่จะแต่งงานกับเธอตั้งแต่แรก ทำให้เขาถูกแบนจากทีมเยาวชนเยอรมนีตะวันตก

อย่างไรก็ตาม ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ ก็ไม่ได้เอาเรื่องนอกสนามมาเป็นอุปสรรคขวางทางเส้นทางการค้าแข้ง เพราะไม่นานหลังจากนั้นเขาสามารถเอาชนะใจผู้จัดการทีมและเดบิวต์ให้กับทีมชุดใหญ่ของ “เสือใต้” ในปี 1964 ซึ่ง ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ ก็ตอบแทนความเชื่อใจจากสโมสรได้เป็นอย่างดี เขาพา บาเยิร์น มิวนิค คว้าแชมป์ Regionalliga Süd (ลีกภูมิภาคทางใต้ของเยอรมัน ที่ในเวลาต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นลีกระดับสองของเยอรมัน) พาต้นสังกัดเลื่อนชั้นสู่บุนเดสลีกา 

ในไม่ช้า บาเยิร์น มิวนิค ก็สถาปนาตนเองให้กลายเป็นทีมเบอร์ต้น ๆ ของลีกสูงสุดเยอรมัน ชูถ้วยแชมป์ฟุตบอลถ้วยของประเทศในฤดูกาล 1966-67 ซ้ำยังประสบความสำเร็จในรายการยูโรเปียน คัพ วินเนอร์ส คัพ ปี 1967 อีกด้วย และต่อยอดศักยภาพของตนเองไม่ว่าจะเป็นทางร่างกายหรือจิตใจจนได้รับหน้าที่เป็นกัปตันทีมของ บาเยิร์น มิวนิค ณ ตอนนั้น 

ในความเป็นจริงแล้วตอนแรก ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ เริ่มต้นเล่นฟุตบอลในตำแหน่งมิดฟิลด์ ก่อนจะถูกถอยให้ไปเล่นเป็นกองหลังตัวกลางในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับการได้รับปลอกแขนกัปตันทีมซึ่ง ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ สามารถประยุกต์รวมทั้งสองบทบาทจนหลายคนยกย่องเขาว่าเป็นผู้บุกเบิกตำแหน่ง “ลิเบโร”

บาเยิร์น มิวนิค ภายใต้เวทมนต์ของ ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ เถลิงบัลลังก์แชมป์บุนเดสลีกา 3 สมัยติดต่อกันตั้งแต่ปี 1972-1974 และยังนำชื่อเสียงและเกียรติยศที่หลายทีมยากจะได้นั่นคือครองแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ (ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปัจจุบัน) 3 สมัยติดต่อกัน ตั้งแต่ปี 1974-1976 ส่งผลให้สโมสรได้รับเกียรติในการรักษาถ้วยรางวัลไว้อย่างถาวร ขณะในนามทีมชาติ ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ เป็นสวมปลอกแขนกัปตันทีมชาติเยอรมัน และคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1974 ด้วยการเอาชนะ ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ในรอบชิงชนะเลิศ 

ในปี 1997 ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ ยอมรับสัญญามูลค่ามหาศาลจาก นิวยอร์ก คอสมอส (New York Cosmos) โดยอยู่ทีมเดียวกับ เปเล่ และเล่นใน North American Soccer League (NASL) เป็นเวลาสี่ฤดูกาล ก่อนจะย้ายกลับบ้านเกิดมาอยู่กับ ฮัมบูร์ก (Hamburger SV) ที่ตัวเขาสามารถพาต้นสังกัดชูถ้วยแชมป์บุนเดสลีกา ในฤดูกาล 1981-1982 และกลับไปปิดฉากฤดูกาลสุดท้ายกับ นิวยอร์ก คอสมอส ในปี 1983

เพียงแค่หนึ่งปีต่อมา ในปี 1984 ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมเยอรมันตะวันตก ซึ่งทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นถึงรองแชมป์ฟุตบอลโลก ปี 1986 และต่อเนื่องเป็นแชมป์ในฟุตบอลโลก 1990 หลังจากนั้นเขาก็รับงานเป็นผู้จัดการทีมให้กับทั้ง โอลิมปิก มาร์กเซย (ปี 1990–91) และ บาเยิร์น มิวนิค สโมสรเก่าของเขา (ปี 1993–94, 1996)

นอกจากนี้อีกสองปีให้หลัง ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ ก็สร้างคุณูปการให้แก่วงการลูกหนังเมืองเบียร์มากมาย โดยรับตำแหน่งรองประธานของสหพันธ์ฟุตบอลเยอรมันในปี 1998 และสร้างความสำเร็จชิ้นโบว์แดงช่วยให้ประเทศเยอรมัน ได้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2006 ยังไม่รวมถึงการเข้าไปมีบทบาทในส่วนงานภาคบริหารของบาเยิร์น มิวนิค และสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า 

ถึงแม้ ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ จะไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกแล้ว แต่มีแฟนบอลจำนวนไม่น้อยที่มองว่าเขาเป็น 11 ผู้เล่นที่ดีที่สุดตลอดกาลของทีมชาติเยอรมัน เพราะสิ่งต่าง ๆ ที่เขาเคยฝากไว้ตอนยังค้าแข้งตลอดจนเสียชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของเยอรมนี 4 สมัย (1966, 1968, 1974, 1976) และไฮไลต์สำคัญคือ บัลลงดอร์ ที่เจ้าตัวได้รับถึง 2 ครั้ง (1972, 1976) แม้เป็นผู้เล่นตำแหน่งคอยปองกัน 

โดย ยูเลียน นาเกลส์มันน์ อดีตกุนซือบาเยิร์น มิวนิค และกุนซือทีมชาติเยอรมัน คนปัจจุบัน กล่าวสดุดีตำนานผู้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ว่า “สำหรับผม ฟรานซ์ เบ็คเค่นบาวเออร์ คือนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์เยอรมัน การตีความบทบาทลิเบโร ทำให้ ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ เป็นผู้เปลี่ยนเกม”

“บทบาทนี้และมิตรภาพของเขากับลูกฟุตบอลบอลช่วยให้เขาเป็นอิสระ ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ สามารถลอยอยู่บนสนามหญ้าได้ ในฐานะนักฟุตบอล และต่อมาในฐานะโค้ชที่เขาทำได้อย่างยอดเยี่ยม เขายืนอยู่เหนือสิ่งอื่นใด เมื่อ ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ เข้ามาในห้อง ห้องนั้นก็สว่างขึ้น ออร่าล้อมรอบเขาไปจนสุดทาง”

ขณะที่ คาร์ล-ไฮนซ์ รุมเมนิกเก้ ก็ได้กล่าวถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ สร้างประโยชน์ให้กับวงการลูกหนังเยอรมัน ว่า “ฟรานซ์ เบ็คเค่นบาวเออร์ เขียนประวัติศาสตร์ฟุตบอลเยอรมันขึ้นมาใหม่และทิ้งร่องรอยไว้อย่างยาวนาน ฟุตบอลเยอรมันสูญเสียครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไปแล้ว”

ข่าวฟุตบอลอื่นๆ