The Independent สื่อยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ จัดอันดับทีมที่มีโอกาสคว้าแชมป์ ยูโรป 2024 มากที่สุด จากทั้งหมด 24 ชาติ ที่เข้าร่วมการแข่งขัน

ยูโร 2024 จะถูกจัดขึ้นที่ประเทศเยอรมัน ระหว่างวันที่่ 14 มิถุนายน – 14 กรกฎาคม 2024 โดยสื่อใหญ่อย่าง The Independent จึงได้วิเคราะห์ และจัดอันดับทีมที่มีโอกาสคว้าแชมป์ ยูโร ในครั้งนี้มากที่สุดไล่เรียงจากอันดับ 1 จนถึง 24

โดยอันดับ 1 The Independent ยกให้ ทีมชาติฝรั่งเศส เป็นทีมที่มีโอกาสคว้าแชมป์มากที่สุด พร้อมให้เหตุผลว่า “ฝรั่งเศสไม่ได้เป็นแชมป์ยุโรปมาตั้งแต่ปี 2000 แต่พวกเขาจะมาถึงเยอรมนีในฐานะหนึ่งในทีมเต็งที่จะคว้าถ้วยรางวัลนี้ หลังจากผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกสองครั้งที่ผ่านมา”

“พวกเขามีทั้งผู้เล่นที่ดีที่สุดในทัวร์นาเมนต์อย่างคีเลียน เอ็มบัปเป้ และนักเตะที่แข็งแกร่งที่สุดในทัวร์นาเมนท์ ผู้เล่นอย่างเอดูอาร์โด้ กามาวินก้า ของเรอัล มาดริด และมาร์คัส ตูราม ในฟอร์มของอินเตอร์ ทำได้เพียงนั่งสำรองเท่านั้น ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ ยังคงมองหาส่วนผสมและความสมดุลที่เหมาะสม ซึ่งคาดว่าฝรั่งเศสจะเจอมันในรอบน็อกเอาต์”

อันดับ 2 ได้แก่ ชาติเจ้าภาพเยอรมนี โดยเผยว่า “ยูเลียน นาเกลส์มันน์ ปรับโฉมกองกลางของเขาใหม่ด้วยการใส่ โทนี่ โครสที่เคยเลิกเล่นทีมชาติไปแล้ว กลับมาช่วยทีมอีกครั้ง”

The Independent ยังยกย่องว่า การกรับเปลี่ยนตำแหน่งของ จามาล มูเซียลา, ฟลอเรียน เวิร์ตซ์, ไค ฮาแวร์ตซ์ และมี อิลคาย กุนโดกัน ประจำการในตำแหน่งหมายเลข 10 ก็ทำให้เยอรมันที่ได้รับการปรับปรุงใหม่นี้ถือเป็นทีมที่อันตราย ประกอบกับความได้เปรียบในบ้าน ที่จะทำให้เยอรมนีเป็นผู้ท้าชิงถ้วยแชมป์ยุโรปอีกครั้ง

ขณะที่อันดับ 3 ได้แก่ ทีมชาติอังกฤษ ของ แกเร็ธ เซาธ์เกต โดยเผยว่า สิงโตคำราม มีกลุ่มผู้เล่นสุดแกร่งในทัวร์นาเมนต์นี้นำโดย จู๊ด เบลลิงแฮม และ แฮร์รี เคน ซึ่งเป็นผู้ทำประตูสูงสุดในลาลีกาและบุนเดสลีกา อีกทั้งฟิล โฟเด้น และ บูกาโย่ ซาก้า ยังเป็นสองผู้เล่นแนวรุกที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก

นอกจากนี้ยังมี ค็อบบี้ ไมนู และ โคล พาลเมอร์ ก็ดูเหมือนผู้นำในอนาคต แต่จุดอ่อนของอังกฤษยังคงเป็นแนวรับ ที่เคยแสดงความผิดพลาดให้เห็นในเกมกระชับมิตรช่วงที่ผ่านมา แต่พวกเขามีพลังโจมตีและประสบการณ์การแข่งขันเพื่อนำทางไปสู่รอบชิงชนะเลิศ

ส่วนอันดับที่เหลือมีดังนี้

  1. โปรตุเกส
  2. สเปน
  3. เนเธอร์แลนด์
  4. อิตาลี
  5. เบลเยียม
  6. ออสเตรีย
  7. ฮังการี
  8. โครเอเชีย
  9. เดนมาร์ก
  10. สโลวีเนีย
  11. เช็ก
  12. สก็อตแลนด์
  13. สวิตเซอร์แลนด์
  14. เซอร์เบีย
  15. โปแลนด์
  16. สโลวาเกีย
  17. โรมาเนีย
  18. ตุรกี
  19. ยูเครน
  20. อัลแบเนีย
  21. จอร์เจีย

ข่าวอื่นๆที่น่าสนใจ