การเล่นในบ้านเจอทีมรับลึกอย่างแอลเบเนีย (อันดับ 65 ของโลก) และลัตเวีย (อันดับ 140) ในเกม ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ไม่ใช่เรื่องง่ายหรือน่าตื่นตาตื่นใจนัก
ความเข้มข้นแบบพรีเมียร์ลีกที่ โธมัส ทูเคิ่ล อยากปลูกฝังให้กับทีมชาติอังกฤษมันไม่ได้เกิดขึ้นในคืนเดียว และยิ่งไม่ใช่ในเกมที่ต้องเจาะกำแพงรถบัสอย่างหนัก
ถึงแม้ชัยชนะสองนัดที่อังกฤษทำได้จะดูคล้ายกับยุคของ แกเร็ธ เซาธ์เกต เล่นเน้นปลอดภัย ไม่หวือหวา แต่ถ้ามองลึกลงไปในแท็คติก ทูเคิ่ลเริ่มใส่แนวคิดใหม่ๆ ลงไปแล้ว
นี่คือ 4 บทเรียนแท็คติกที่เราได้เห็นจากสองเกมแรกในยุค “ทูเคิ่ล”
1. ความเร่งด่วนแบบที่ทูเคิ่ลต้องการ ไม่ง่ายอย่างที่พูด
ทูเคิ่ลพูดถึงแท็คติกแบบเปิดเผยมาก ต่างจากยุคเซาธ์เกตพอสมควร เขาพูดถึงระบบ 4-1-4-1 ว่าอาจไม่พอสำหรับการคุมเกม หรือ 4-4-2 แบบอังกฤษดั้งเดิมจะยังเวิร์กไหม รวมถึงการใช้ “เบอร์ 10 สองคน” จะกระทบกับปีกธรรมชาติหรือเปล่า
แต่แม้จะพูดชัดเจนขนาดนั้น เขาก็ยังแปลกใจว่าทำไมทีมยังดูช้า เคลื่อนบอลช้า เล่นไม่ค่อยกล้าเสี่ยงเลย
“เราเริ่มเกมช้าเกินไป เล่นกันนิ่งเกินไป ไม่มีการเคลื่อนที่ มันไม่ควรเป็นแบบนี้” – ทูเคิ่ลหลังเกมกับลัตเวีย
“ผมยังไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงพาบอลไปถึงปีกได้ช้าแบบนี้” – หลังเกมกับแอลเบเนีย
นี่คือช่วงเริ่มต้นของการวางโครงสร้างใหม่ ซึ่งยังต้องใช้เวลาให้เข้าใจจังหวะ การเคลื่อนที่ และ ‘อัตลักษณ์’ ที่ทูเคิ่ลต้องการจากทีม
2. ตำแหน่งการยืนของแผงมิดฟิลด์ เริ่มเห็นทิศทางชัดเจน
สองเกมแรกเราจะเห็นการจัดรูปมิดฟิลด์ที่ต่างกันชัดเจน:
– เกมกับแอลเบเนีย: ไลน์กลางเป็นสามเหลี่ยม ไรซ์ ยืนต่ำ, เบลลิงแฮม และ เคอร์ติส โจนส์ ดันสูงเป็นเบอร์ 8 เป็นระบบ 4-1-4-1 ที่กล้าเล่นเกมรุกมากกว่ายุคเซาธ์เกต
– เกมกับลัตเวีย: เปลี่ยนมายืนเป็นรูปกล่อง โดยให้ ลูอิส-สเคลลี่ อินเวิร์ตเข้ามายืนคู่ ไรซ์ ข้างล่าง ข้างบนเป็น เบลลิงแฮม กับ โรเจอร์ส ทำให้โครงสร้างกลายเป็นแบบ 3-4-2-1
ทั้งสองแบบนี้มีจุดร่วมที่ชัดเจนคือ “เบอร์ 10 สองคน” และการเล่นเกมรุกที่เน้นเจาะกลางอย่างเป็นระบบ
3. แบ็คซ้าย-ขวาสไตล์อินเวิร์ต: ทูเคิ่ลวางเกมรับ-รุกควบคู่กัน
การใช้ ลูอิส-สเคลลี่ และ รีซ เจมส์ เป็นอินเวิร์ตฟูลแบ็คกลับเข้ากลาง คือจุดที่บอกว่าทูเคิ่ลคิดล่วงหน้าไปไกลถึงฟุตบอลโลก 2026 แล้ว
เพื่อให้ ไรซ์ ไม่รับภาระมากเกินไปเมื่อใช้เบอร์ 10 สองคน เขาเลยให้ฟูลแบ็คช่วยประคองแดนกลาง
“ถ้าเราครองเกมไว้ได้ รีซ เจมส์ สามารถเป็นมิดฟิลด์ไฮบริดได้เลย เขามีคุณภาพในการจ่ายบอลและสร้างความได้เปรียบ” – ทูเคิ่ลกล่าว
ประเด็นนี้คือการป้องกัน ‘การโต้กลับเร็ว’ จากคู่แข่ง โดยเฉพาะในรอบลึกๆ ของทัวร์นาเมนต์ใหญ่
4. ปีกต้องดุดัน แต่จะโดดเดี่ยวถ้าไม่มีฟูลแบ็คคอยซ้อน
“เราหวังให้ปีกมีอิมแพกต์มากกว่านี้ มีจังหวะเลี้ยงเจาะ มีการวิ่งสอดเข้ากรอบ” – ทูเคิ่ลหลังชนะแอลเบเนีย
เขาคาดหวังจาก แรชฟอร์ด และ โฟเด้น มากกว่านี้ — ซึ่งเกมกับลัตเวีย แรชฟอร์ด สร้างโอกาสได้ถึง 6 ครั้ง และเปิดบอล 11 ครั้งคนเดียวลุยฝั่งซ้าย
แต่ฝั่งขวา โบเว่น ไม่ค่อยเวิร์ก จนทูเคิ่ลเปลี่ยนให้ โรเจอร์ส ไปเล่นแทน แล้วผลงานก็ออกมาดีกว่า
ปัญหาคือ ถ้าไม่มีฟูลแบ็คเติมสูงมาช่วยดึงตัวประกบ ปีกจะเล่นยากมาก (เหมือนที่ แมนฯซิตี้ เจอปัญหานี้อยู่)
สรุป: “วิ่งทะลุไลน์” คือหัวใจของทูเคิ่ล
ทูเคิ่ลอยากให้ผู้เล่นทุกคนมีอิสระวิ่งตัดหลังแนวรับ เหมือน ลูอิส-สเคลลี่ ที่ยิงลูกเปิดหัวกับแอลเบเนีย หรือ ไรซ์ ที่เติมมาแอสซิสต์ให้ เคน
การวิ่งแนวตรง, การกล้าบุกทะลุ – คือความเปลี่ยนแปลงชัดเจนจากสไตล์เซาธ์เกต
—
ถ้าเปรียบเทียบ ทูเคิ่ลเหมือนโค้ชที่กำลังเซ็ตสูตรใหม่ ปรับสปีด เปลี่ยนโครงสร้าง จากทีมที่เคยเล่นแบบ “เซฟไว้ก่อน” สู่ทีมที่กล้าเปิดเกมใส่เต็มสูบ
เกมอาจยังไม่เป๊ะ แต่เส้นทางที่เขาเลือกชัดเจนว่า มุ่งไปที่ “ความกล้า + ความคิดสร้างสรรค์” เพื่อฝันถึงบอลโลก 2026